วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

ST Kinetics สิงคโปร์เปิดตัวรถหุ้มเกราะล้อยาง Terrex 2 รุ่นใหม่

ST Kinetics unveils next-generation Terrex 2 amphibious armoured vehicle

The 30-tonne Terrex 2 is an indigenously developed 8x8 armoured vehicle developed for the domestic and international markets.
It incorporates a range of new technologies designed for improved amphibious performance as well as protection and situational awareness. Source: ST Kinetics

The Terrex 2 incorporates the best features of the current Terrex infantry carrier vehicle and the prototype vehicle that was developed to participate in the US Marine Corps' ongoing Amphibious Combat Vehicle programme.
The vehicle is seen here undergoing mobility trials at its test facility in Singapore, with its raised snorkel and specially designed radiator system on the forward section of the roof. (ST Kinetics)

The driver's console features increased digitisation, with two touch screen consoles facilitating speedy access to information and settings on the vehicle's health, driving configuration, and other critical functions.
Instead of physical gauges located out of the driver's immediate visibility, dashboard information is overlaid on the LCD display immediately underneath the viewports to improve usability and driving safety. (ST Kinetics)

http://www.janes.com/article/54107/st-kinetics-unveils-next-generation-terrex-2-amphibious-armoured-vehicle

Singapore Technologies (ST) Kinetics ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาและผลิตระบบยุทโธปกรณ์ภาคพื้นดินในเครือ ST Engineering ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทอุตสากรรมด้านความมั่นคงที่สนับสนุนโดยรัฐบาลสิงคโปร์
ได้ทำการเปิดตัวรถหุ้มเกราะสะเทินน้ำสะเทินบกล้อยาง 8x8 แบนใหม่ล่าสุดคือ Terrex 2 ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากรถเกราะล้อยางลำเลียงพล Terrex ICV(Infantry Carrier Vehicle) ที่มีประจำการในกองทัพสิงคโปร์
โดย ST Kinetics ยังมีความร่วมมือเป็นหุ้นส่วนกับ Science Applications International Corporation (SAIC) ซึ่งมีที่ตั้งที่มลรัฐ Virginia สหรัฐฯ ในการเสนอรถเกราะล้อยาง Terrex 2 ให้นาวิกโยธินสหรัฐฯ
เข้าแข่งขันโครงการจัดหารถรบสะเทินน้ำสะเทินบก ACV 1.1(Amphibious Combat Vehicle Phase 1 Increment 1) ซึ่งมาแทนที่โครงการ EFV(Expeditionary Fighting Vehicle) ที่ยกเลิกไปในปี 2011

หัวหน้าฝ่ายการตลาด ST Kinetics นาย Winston Toh ได้กล่าวกับ Jane's ว่า รถเกราะ Terrex 2 เป็นการแสดงความตั้งใจของบริษัทที่นำเสนอต่อนานาชาติ
โดยรถได้ออกแบบใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เน้นการเพิ่มความอยู่รอดของกำลังพลภายในรถ เพิ่มขัดความสามารถในการบรรทุก รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการเคลื่อนในน้ำในระดับที่สูงขึ้น
"การออกแบบล่าสุดของเราเป็นสุดยอดการออกแบบยานยนต์แห่งทศวรรษที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาระบบยานยนต์ที่ได้การป้องกันเช่นเดียวกับ รถรบทหารราบสายพาน Bionix และรถเกราะลำเลียงพลล้อยาง Terrex
ผลลัพธ์ที่ได้จากประสบการณ์ทำให้เราเข้าใจว่า เราไม่ออกแบบแค่เพียงระบบเดียว แต่เป็นระบบหนึ่งที่สามารถปฏิบัติการเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่ เป็นกองกำลังเครือข่าย"

ตามข้อมูลคุณสมบัติของรถที่ Jane's ได้รับจาก ST Kinetics รถเกราะล้อยาง Terrex 2 มีน้ำหนัก 30tons ซึ่งใหญ่กว่ารถเกราะล้อยาง Terrex รุ่นแรกที่มีน้ำหนัก 24tons จึงเพิ่มขีดความสามารถในการบรรทุกกำลังพล อาวุธ และเกราะได้มากขึ้น
Terrex 2 มีกำลังพลประจำรถ 2นายคือ ผู้บังคับการรถ และพลขับ สามารถบรรทุกทหารราบพร้อมอุปกรณ์เต็มอัตราได้ 12นาย ในที่นั่งแบบป้องกันสะเก็ดระเบิด
รวมถึงสามารถติดตั้งกล่องบรรจุสัมภาระแบบเข้าถึงเร็วกับตัวรถสำหรับบรรทุกสิ่งอุปกรณ์เพิ่มเติมหรือชิ้นส่วนอะไหล่สำหรับการซ่อมบำรุงด้วย
การออกแบบตัวถังของรถเกราะ Terrex 2 เป็นแบบ V-over-V (VoV) ประกอบไปด้วยตัวถังทรงตัว V สองชั้นในช่วงล่างในส่วนระบบขับเคลื่อและระบบกันสะเทือน และช่วงบนในส่วนพลประจำรถและกำลังพล
ทำให้รถเกราะ Terrex 2 เพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันตนเองจากแรงระเบิดของกับระเบิดหรือระเบิดแสวงเครื่องได้ดีขึ้น และลดอันตรายที่จะเกิดกับกำลังพลในรถได้มากขึ้น
รถเกราะ Terrex 2 ยังได้มีการปรับปรุงอุทกพลศาสตร์ของตัวรถซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของโครงการในการเคลื่อนที่แบบสะเทินน้ำ ทั้งท่อ snorkel ระบบขับเคลื่อนขณะอยู่ในน้ำ
ซึ่งทำให้รถเกราะ Terrex 2 สามารถทำความเร็วขณะเคลื่อนที่ในน้ำได้ 6knots และทนต่อระดับคลื่นลมในทะเลได้ที่ระดับ Sea State 4 ในการทดสอบในทะเลจริง
รถเกราะ Terrex 2 มีความยาวตัวรถ 8.5m กว้าง 3-4m สำหรับรูปแบบรถสะเทินน้ำสะเทินบกมาตรฐาน มีความสูงต่ำกว่า 3m และมีความสูงจากพื้นรถถึงผิวถนนที่ 400mm
ระบบเครื่องยนต์ของรถเกราะ Terrex 2 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล Caterpillar C9 turbocharged 6ลูกสูบ กำลัง 600hp(447kw) ร่วมกับระบบส่งกำลังอัตโนมัติอัตราส่วนกว้าง Allison 4500SP แบบ 6ระดับความเร็ว
รถเกราะ Terrex 2 สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ไปที่ 50km/h ได้ในเวลาน้อยกว่า 15วินาที และสามารถทำความเร็วได้สูงสุดที่ 90km/h
ด้านการบังคับรถและการหยั่งรู้สถานการณ์ของสถานีพลขับ รถเกราะ Terrex 2 ได้ติดตั้งกล้องกลางวัน low-lux และกล้องสร้างภาพความร้อน(IT: Thermal Imaging) 11ตัวรอบตัวรถ
อย่างไรก็ตามทาง ST Kinetics กำลังพัฒนากล้องแบบ hybrid imager ที่เรียกว่ากล้อง TI fusion ซึ่งเป็นการผสมทั้งกล้องกลางวันและกล้องสร้างภาพความร้อนในกล้องเดียว ซึ่งระบบสร้างภาพความร้อนจะแสดงเป็นภาพสีเช่นเดียวกับกล้องกลางวันได้
ส่วนของระบบอาวุธรถเกราะ Terrex 2 มีพื้นที่ส่วนหลังคารถสำหรับติดต้องระบบป้อมปืน Remote (Remote Weapon Station) สำหรับปืนกลหนัก 12.7mm หรือปืนกลร่วมแกน 7.62mm หรือเครื่องยิงลูกระเบิดอัตโนมัติ 40mm แบบแตกอากาศ
รวมถึงสามารถติดตั้งป้อมปืนสำหรับปืนใหญ่กลขนาด 30mm ได้ ทาง Jane's เข้าใจว่าสำหรับระบบอาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้รถถังนั้นสามารถเลือกติดตั้งได้ตามความต้องการของลูกค้าด้วย

"Terrex 2 จะไม่ได้มาแทนทียานยนต์ที่มีสายการผลิตในปัจจุบัน แต่จะเป็นเติมเต็มผลงานด้านผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของเรา ดังนั้นขณะนี้เราจึงสามารถเสนอระบบที่มีต่อความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น" นาย Toh กล่าว
นอกจากโครงการ ACV 1.1 ของนาวิกโยธินสหรัฐฯแล้ว Jane's ยังเข้าใจว่า ST Kinetics ยังได้ร่วมมือกับ Elbit Systems สาขา Australia เสนอต่อกระทรวงกลาโหมออสเตรเลียในโครงการ Land 400 ระยะที่2(Project Land 400 Phase 2)
ซึ่งเป็นโครงการจัดหาจัดหายานยนต์ลาดตระเวนใหม่จากโรงงาน 225คัน ทดแทนยานเกราะเบา ASLAV และรถสายพานลำเลียง M113AS4 ในปี 2020-2024 ด้วย
ขณะที่ทางบริษัทได้ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นโดยตรงเกี่ยวกับความต้องการโครงการจัดหาของกองทัพออสเตรเลียเนื่องจากข้อกำหนดในสัญญา แต่เชื่อว่ารถรบลาดตระเวนที่ Elbit Systems และ ST Kinetics เสนอจะมีพื้นฐานจากรถเกราะ Terrex 2

ทั้งนี้รถเกราะ Terrex 2 จะมีการเปิดตัวต่อสาธารณะชนอย่างเป็นทางการในงานแสดง Defence and Security Equipment International ที่ London สหราชอาณาจักร ช่วงวันที่ 15-18 กันยายน
และถัดไปที่งานแสดง Modern Day Marine ที่ฐานทัพของนาวิกโยธินใน Quantico สหรัฐฯ ในเดือนกันยายนนี้ครับ