วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

กองทัพเรือไทยมีแผนปรับปรุงอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดชรองรับการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำและสร้างเรือฟริเกตสมรรถนะสูงในประเทศ


http://www.tnamcot.com/content/670468
Royal Thai Navy Submarine Maintenance and Shipbuilding Facilities project at Mahidol Adulyadej Naval Dockyard for support Chinese's S26T 

http://www.tnamcot.com/content/669762
Potential of Mahidol Adulyadej Naval Dockyard to building second new Tachin class Frigate by Daewoo Shipbuilding & Marine Engineering South Korea's technology transfer in Thailand











รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมหน่วยงานของกองทัพเรือ สายงานด้านการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพื่อใช้ในราชการและการพาณิชย์

วันนี้ (6 มีนาคม 2560) เวลา 08.00 น. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะ เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยงานของกองทัพเรือ สายงานด้านการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์
ณ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมี พลเรือเอก ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือให้การต้อนรับ
การเดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานกองทัพเรือ สายงานด้านการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ของรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในวันนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อรับฟังความก้าวหน้าในการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพเรือด้านการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์
โดยเฉพาะขีดความสามารถในการซ่อม สร้าง/ผลิต วิจัยและพัฒนาของกองทัพเรือ ในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมกับภาคเอกชน และ กระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ เพื่อไปสู่การพึ่งพาตนเอง และเพื่อการพาณิชย์ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรงวงกลาโหม

โดยในวันนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้นำรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชมการดำเนินการของกองทัพเรือ ในสายงานด้านการซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์ประกอบด้วย การซ่อมเรือ การซ่อม อากาศยาน การซ่อมสรรพาวุธ และการซ่อมรถยนต์สงครามชนิดรบ
รวมถึง การเตรียมความพร้อมในการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำ ที่จะมีเข้าประจำการในอนาคต ตลอดจนการวิจัยและพัฒนา ที่ กองทัพเรือได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๒๖ เพื่อนำมาใช้งานใน กองทัพเรือ และแก้ปัญหาให้กับหน่วยในลักษณะพึ่งพาตนเอง ลดภาระการนำเข้าจากต่างประเทศ
โดยเฉพาะวัสดุที่ใช้งานมาก มีความสิ้นเปลือง และมีราคาสูงได้รับความร่วมมือและสนับสนุนจากพันธมิตรด้านการวิจัยทั้งภาครัฐและ เอกชน

ซึ่งในวันนี้กองทัพเรือได้นำโครงการวิจัยที่เตรียมเข้าสู่สายการผลิตเพื่อนำมาใช้งานในกองทัพเรือที่สำคัญมาให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะ ได้ชมการสาธิตประกอบด้วย
โครงการเครื่องบินทะเลขนาด ๒ ที่นั่ง ซึ่งได้รับทุนวิจัย ๒ แบบ คือ แบบปีกชั้นเดียวและปีก ๒ ชั้น ซึ่งแบบปีกชั้นเดียวได้ผ่านการทดสอบการบินประมาณ ๒๐๐ ชั่วโมง โดยขณะนี้ได้รับงบประมาณ ในการสร้างเพื่อเข้ากระบวนการรับรองมาตรฐานร่วมกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
และอากาศยานไร้นักบินปีกนิ่งขึ้น-ลงทางดิ่ง แบบ FUVEC (Fixed-wing Unmanned aerial vehicle with Vertical takeoff and landing Enabled Capability) ซึ่งเป็นโครงการวิจัยเพื่อนำมาใช้ในการตรวจการณ์ทางอากาศ และ พิสูจน์ทราบเป้าหมายระยะไกล

สำหรับโครงการวิจัยที่อยู่ระหว่างดำเนินการที่สำคัญได้แก่
โครงการวิจัยเรือดำน้ำขนาดเล็ก, โครงการวิจัยเรือปฏิบัติการผิวน้ำไร้คนขับ, จรวดหลายลำกล้องนำวิถีแบบติดตามเป้าหมายสำหรับภารกิจต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และยานเกราะล้อยางสำหรับสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของนาวิกโยธิน

ทั้งนี้ กองทัพเรือมีความพร้อม ในการดำเนินการตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหม กับ ภาคเอกชน และกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ เพื่อนำไปสู่การพึ่งพาตนเอง และเพื่อการพาณิชย์อย่างเต็มที่ทั้งนี้
เพื่อดำเนินการตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
https://www.facebook.com/prthainavy/posts/1449072565144095

ส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทยนั้นคือการสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงเรือดำน้ำที่ อู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช กรมอู่ทหารเรือ ประกอบด้วย
พื้นที่ระบบยกเรือทางดิ่ง(Shiplift area) 50x125m ยืนไปในทะเลmที่มีน้ำลึก 13.5m, พื้นที่สำหรับซ่อมบำรุงเรือดำน้ำขนาด ๔๐.๗๘ไร่ และโรงซ่อมเรือดำน้ำขนาด 50x100x25m,
ทางเลื่อนเรือความยาว 340m, เครน, รถยกสำหรับซ่อมทำตัวเรือแนวใต้น้ำ, เครื่องแล่นประสานท่อต่างๆ, เครื่องมือทำความสะอาดและทาสีตัวเรือ, อุปกรณ์เกี่ยวกับ Bettery และ ฯลฯ ซึ่งจะใช้เวลาก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงราว ๓ปี
ทั้งหมดนี้น่าจะรวมถึงการรองรับโครงการวิจัยเรือดำน้ำขนาดเล็ก ที่เป็นโครงการสร้างเรือดำน้ำขนาดเล็กแบบใหม่ต่อจากโครงการสร้างยานใต้น้ำที่เคยพัฒนาทดสอบมาแล้วตามที่ได้เคยนำเสนอไปก่อน

กองทัพเรือไทยมีความต้องการเรือดำน้ำจำนวน ๓ลำ เพื่อใช้ในการปฎิบัติการในทะเลอ่าวไทย ๑ลำ ปฏิบัติการในทะเลอันดามัน ๑ลำ และซ่อมบำรุงตามวงรอบ ๑ลำ
โดยนอกจากอู่ซ่อมบำรุงเรือดำน้ำที่อู่มหิดล ๑แห่งแล้ว ยังมีแผนที่จะสร้างอู่ซ่อมบำรุงเรือดำน้ำอีก ๒แห่ง คืออู่ในอ่าวที่มีภูเขากำบังพื้นที่อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรีเพื่อรักษาความลับ
และอู่เรือดำน้ำทีฝั่งทะเลอันดามันที่จังหวัดพังงา หรือจังหวัดกระบี่ เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการในเขตกองทัพเรือภาคที่๓ รวมอู่ซ่อมบำรุงเรือดำน้ำในไทยทั้งหมด ๓แห่ง

ตามข้อมูล่าสุดกองทัพเรือได้จัดทำเอกสารของอนุมัติการจัดหาเรือดำน้ำเสร็จแล้ว มีการเจรจาหาข้อยุติข้อตกลงกับ CSOC (China Shipbuilding & offshore International Co., Ltd.) สาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
มีการผ่านการอนุมัติงบประมาณโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สนช. ไปแล้ว เหลือแต่เพียงเสนอให้กระทรวงกลาโหมและคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป
แต่ทั้งนี้ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ ๗ มีนาคมที่ผ่านมายังไม่มีการเสนอโครงการจัดหาเรือดำน้ำ S26T ระยะที่๑ จำนวน ๑ลำ วงเงิน ๑๓,๔๘๑,๘๖๓,๘๐๐บาท($379 millon) แต่อย่างใด
โดยถ้ายังไม่มีการอนุมัติโครงการเรือดำน้ำภายในเดือนมีนาคมนี้ ก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่ทันการใช้วงรบการใช้เงินงบประมาณใน งป.๒๕๖๐(2017) และอาจจะทำให้กองทัพเรือต้องพักโครงการรอต่อไปอีกนาน จากแผนที่จะได้รับมอบลำแรกภายใน ๖ปี

โครงการพัฒนาพื้นที่ของอู่มหิดลฯใหม่นี้ยังมีแผนที่จะขยายขีดความสามารถในการรองรับซ่อมบำรุงเรือที่มีอยู่และการสร้างเรือใหม่เพิ่มขึ้นอีก
โดยเฉพาะโครงการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูงลำที่๒ ต่อจาก ร.ล.ท่าจีน(ลำที่๓) ที่จะสร้างในไทย โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัท Daewoo Shipbuilding & Marine Engineering(DSME) สาธารณรัฐเกาหลีอีกด้วย
โครงการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูง ระยะที่๑ คือ ร.ล.ท่าจีน(ลำที่๓) นั้นเพิ่งจะถูกปล่อยลงน้ำไปเมื่อ ๒๓ มกราคม ที่ผ่านมาที่อู่ DSME เกาหลีใต้ตามที่ได้รายงานไป (aagth1.blogspot.com/2017/01/blog-post_23.html)
ซึ่งโครงการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูง ระยะที่๑ ที่จะดำเนินการสร้างในไทยนั้นอาจจะได้รับพระราชทานนามชื่อเรือว่า ร.ล.ประแส(ลำที่๓) หรือ ร.ล.แม่กลอง(ลำที่๒) อย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นการต่อยอดการพัฒนาสร้างเรือรบในประเทศที่มีสมรรถนะสูงกว่าเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง ร.ล.กระบี่ ที่เข้าประจำการแล้ว และ ร.ล.ตรัง (BAE Systems 90m Offshore Patrol Vessel)ที่กำลังดำเนินการสร้างอยู่ไปอีกขั้น

นอกจากนี้กองงทัพเรือยังมีโครงการวิจัยพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ของตนเองอื่นๆอีกมาก เช่น
โครงการเครื่องบินทะเล, อากาศยานไร้คนขับ(UAV: Unmanned Aerial Vehicle) แบบปีกหมุนสี่ใบพัดนารายณ์, แปดใบพัดองคต, DTI RTN KSM150 และปีกตรึงขึ้นลงทางดิ่ง FUVEC และยานผิวน้ำไร้คนขับ(USV: Unmanned Surface Vehicle)
โครงการที่พัฒนาร่วมร่วมกับ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ สปท.(DTI: Defence Technology Institute) เช่น
จรวดหลายลำกล้องนำวิถีสำหรับหน่วยต่อสู้อากาศยานรักษาฝั่ง สอ.รฝ.ที่พัฒนาจาก DTI-1G และรถหุ้มเกราะล้อยางสะเทินน้ำสะเทินบกสำหรับหน่วยนาวิกโยธิน นย.ที่พัฒนาจาก Black Widow Spider 8x8
ทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ากองทัพเรือไทยเป็นเหล่าทัพที่มีศักยภาพและองค์ความรู้ในการวิจัยและพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์พึ่งพาตนเองภายในประเทศไทยอย่างก้าวหน้ามั่นคงสูงสุด ลบล้างข้อครหาที่ไร้เหตุผลสิ้นเชิงว่ากองทัพเรือซื้ออาวุธอย่างเดียวไม่สร้างเองใช้เองครับ